บทที่4 อินเทอร์เน็ต


อินเทอร์เน็ต (อังกฤษInternet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้

ที่มา

อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน

การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต

การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ, การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆ
แนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายสังคม ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไฮไฟฟ์ และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก

จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก

ไฟล์:Worldint2008pie.png
สัดส่วนการผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแยกตามทวีป, ที่มา:http://www.internetworldstats.com/stats.htm
ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยประมาณ 2.095 พันล้านคน หรือ 30.2 % ของประชากรทั่วโลก (ข้อมูล ณ เดือน มีนาคม 2554) โดยเมื่อเปรียบเทียบในทวีปต่างๆ พบว่าทวีปที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็น 44.0 % ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็นจำนวน 384 ล้านคน
หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกับจำนวนประชากรรวม พบว่าทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนผู้ใช้ต่อประชากรสูงที่สุดคือ 78.3 % รองลงมาได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย 60.1 % และ ทวีปยุโรป คิดเป็น 58.3 % ตามลำดับ

อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยการเชื่อมต่อมินิคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย แต่ในครั้งนั้นยังเป็นการ เชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้าและไม่เป็นการถาวร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC),มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าด้วยกันเรียกว่า "เครือข่ายไทยสาร"
การให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ เดือน มีนาคม พ.ศ. 2538 โดยความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยให้บริการในนาม บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์รายแรกของประเทศไทย [1]

จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ ปี 2534 (30คน) ปี 2535 (200 คน) ปี 2536 (8,000 คน) ปี 2537 (23,000 คน) ... ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2551 จากจำนวนประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปประมาณ 59.97 ล้านคน พบว่า มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 16.99 ล้านคน คิดเป็น ร้อยละ 28.2 และมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 10.96 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 18.2 [2]

อินเทอร์เน็ตแบนด์วิท

ปัจจุบัน (มกราคม 2553) ประเทศไทยมีความกว้างช่องสัญญาณ (Internet Bandwidth) ภายในประเทศ 110 Gbps และระหว่างประเทศ 110 Gbps [3]

ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต

      อินเทอร์เน็ต (Internet)   คือ  เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน มาจากคำว่า Inter Connection Network
       อินเทอร์เน็ต (Internet)  เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
ทั่วโลก สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ โดยใช้มาตรฐานในการรับส่งข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว หรือที่เรียกว่า
โปรโตคอล (Protocol) ซึ่งโปรโตคอล ที่ใช้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีชื่อว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP : Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
     พัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
        ปี พ.ศ. 2500 (1957) โซเวียดได้ปล่อยดาวเทียม Sputnik ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้น ค.ศ. 2512 (1969) กองทัพสหรัฐต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางการทหาร และความเป็นไปได้ในการถูกโจมตี ด้วยอาวุธปรมาณู หรือนิวเคลียร์ การถูกทำลายล้าง ศูนย์คอมพิวเตอร์ และระบบการสื่อสารข้อมูล อาจทำให้เกิดปัญหาทางการรบ และในยุคนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีหลากหลายมากมายหลายแบบ ทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และโปรแกรมกันได้ จึงมีแนวความคิด ในการวิจัยระบบที่สามารถ
เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ และแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างระบบที่แตกต่างกันได้ ตลอดจนสามารถรับส่งข้อมูลระหว่างกัน ได้อย่างไม่ผิดพลาด แม้ว่าคอมพิวเตอร์บางเครื่อง หรือสายรับส่งสัญญาณ เสียหายหรือถูกทำลาย กระทรวงกลาโหมอเมริกัน (DoD = Department of Defense) ได้ให้ทุนที่มีชื่อว่า DARPA (Defense Advanced Research Project Agency) ภายใต้การควบคุมของ Dr. J.C.R. Licklider ได้ทำการทดลอง ระบบเครือข่ายที่มีชื่อว่า DARPA Network และต่อมาได้กลายสภาพเป็น ARPANet (Advanced Research Projects Agency Network) และต่อมาได้พัฒนาเป็น INTERNET ในที่สุด
 เลขที่อยู่ไอพี[1] (อังกฤษIP address) หรือชื่ออื่นเช่น ที่อยู่ไอพี, หมายเลขไอพี, เลขไอพี, ไอพีแอดเดรส คือหมายเลขที่ใช้ในระบบเครือข่ายที่ใช้โพรโทคอลอินเทอร์เน็ต (IP) คล้ายกับหมายเลขโทรศัพท์ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเราท์เตอร์ เครื่องแฟกซ์ จะมีหมายเลขเฉพาะตัวโดยใช้เลขฐานสอง จำนวน 32 บิต โดยการเขียนจะเขียนเป็นชุด 4 ชุด โดยแต่ละชุดจะใช้เลขฐานสองจำนวน 8 บิต ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับระบบเลขฐานสิบ จึงมักแสดงผลโดยการใช้เลขฐานสิบ จำนวน 4 ชุด ซึ่งแสดงถึงหมายเลขเฉพาะของเครื่องนั้น สำหรับการส่งข้อมูลภายในเครือข่ายแลน แวนหรือ อินเทอร์เน็ต โดยหมายเลขไอพีมีไว้เพื่อให้ผู้ส่งรู้ว่าเครื่องของผู้รับคือใคร และผู้รับสามารถรู้ได้ว่าผู้ส่งคือใคร

ตัวอย่างของหมายเลขไอพี ได้แก่ 207.142.131.236 ซึ่งเมื่อแปลงกลับมาในรูปแบบที่อ่านได้จะเรียกว่า โดเมนแอดเดรส ผ่านทางระบบการตั้งชื่อโดเมน (Domain Name System) ซึ่งหมายเลขนั้นหมายถึง www.wikipedia.orgชื่อโดเมน หรือ โดเมนเนม (อังกฤษdomain name) หมายถึง ชื่อที่ใช้ระบุลงในคอมพิวเตอร์ (เช่น เป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่เว็บไซต์ หรืออีเมลแอดเดรส) เพื่อไปค้นหาในระบบ โดเมนเนมซีสเทม เพื่อระบุถึง ไอพีแอดเดรส ของชื่อนั้นๆ เป็นชื่อที่ผู้จดทะเบียนระบุให้กับผู้ใช้เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของตน บางครั้งเราอาจจะใช้ "ที่อยู่เว็บไซต์" แทนก็ได้
โดเมนเนม หรือ ชื่อโดเมน เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากไอพีแอดเดรสนั้นจดจำได้ยากกว่า และเมื่อการเปลี่ยนแปลงไอพีแอดเดรส ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสใหม่ ยังคงใช้โดเมนเนมเดิมได้ต่อไป
อักขระที่จะใช้ในการตั้งชื่อโดเมนเนม ได้แก่ ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัวเลข และ "-" (ยัติภังค์) คั่นด้วย "." (มหัพภาค) โดยปกติ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร และลงท้ายด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข มีความยาวตั้งแต่ 1 ถึง 63 ตัวอักษร ตัวอักษรตัวใหญ่ A - Z หรือตัวอักษรตัวเล็ก ถือว่าเหมือนกัน
1 ไอพีแอดเดรส สามารถใช้โดเมนเนมได้มากกว่า 1 โดเมนเนม และหลายๆ โดเมนเนมอาจจะใช้ไอพีแอดเดรสเดียวกันได้รูปแบบการบริการบนอินเตอร์เน็ต

     การบริการต่างๆบนอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมายขึ้นอยู่กับผู้ใช้บริการแต่ละบุคคลจะเลือกนำไปใช้  แต่ละบุคคลเมื่อเดินมาท่องโลกบนอินเทอร์เน็ตจะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน  และจะเลือกบริการให้เหมาะสมกับงานหรือตามจุดประสงค์ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตควรจะทำความเข้าใจถึงบริการดังต่อไปนี้
     1.เครือข่ายใยแมงมุม(www)
        การเชื่อมโยงเอกสารในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่ทั่วโลกคล้ายกับใยแมงมุม
        ลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูล  คือ  การเชื่อมโยงเอกสาร หรือ ที่เรียกว่า Link จากเอกสารภายในหน้าเดียวกัน  เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นๆหรือไปยังเว็บไซต์อื่นๆได้โดยการเชื่อมโยงในลักษณะของข้อความ หรือไฮเปอร์เท็กซ์ และสื่อประสมต่างๆ
        เว็บเพจ  คือ หน้าเอกสารเว็บแต่ละหน้าสามารถเชื่อมโยงกันได้เปรียบเสมือนหน้าของหนังสือที่เราอ่านแต่ละหน้า
        เว็บไซต์  คือ หน้าเว็บเพจหลายๆหน้า  นำมร่วมกันเปรียบได้กับหนังสือ 1 เล่ม ที่ประกอบด้วยหน้าของหนังสือหลายหน้า
       โฮมเพจ  คือ หน้าแรกของเว็บไซต์เปรียบได้กับหนังสือหน้าแรกสุด
    2.โดเมนเนม(Domain Name)
       โดเมนเนม หรือที่เราเรียกว่า ที่อยู่ของเว็บไซต์ เป็นชื่อที่ถูกการเรียกแทนหมายเลข IP  Address เนื่องจากเกิดความยุ่งยากในการจำหมายเลข เวลาที่ต้องการท่องเที่ยวในอินเทอรืเน็ตจึงได้นำตัวอักษรมาใช้แทน  มักเป็นชื่อที่มีสื่อความหมายเป็นหน่วยงาน หรือเจ้าของเว็บไซต์นั้น ชื่อของโดเมนเนมแต่ละชื่อจะอยู่หนึ่งเดียวเท่านั้น
       2.1Organization  Domains  โดเมนเนม 2 ระดับ แสดงถึงองค์กร  หรือหน่วยงานที่มีลักษณะดังนี้ เช่น  www.thai2learn.com  www.berkeley.edu
การแสดงตัวอย่างประเภทองค์กร  สำหรับ Organization  Domains
ตัวย่อ                                                ประเภทองค์กร
                            .com                                            บริษัทหรือองค์กรพาณิชย์
                            .edu                                             สถาบันการศึกษา
                            .net                                              องค์กรที่ให้บริการเครือข่าย
                            .mil                                              องค์กรทางทหาร
                            .gov                                             องค์กรของรัฐ
        2.2Geographical  Domains  โดเมน  3  ระดับ มีลักษณะดังนี้  www.google.com  www.nvc-koran.ac.th  แตกต่างจากรูปแบบ  2  ระดับ คือหลังจากบอกประเภทองค์กรแล้วจะตามด้วยชื่อประเทศที่ตั้งขององค์กรนั้น
การแสดงตัวย่อของประเภทองค์กร สำหรับ Geographical  Domins
                               ตัวย่อ                                           ประเภทองค์กร
                               .co                                             บริษัทหรือองค์กรพาณิชย์
                               .ac                                              สถาบันการศึกษา
                               .go                                             องค์กรของรัฐ
                               .net                                            องค์กรที่ให้บริการเครือข่าย
       3. ไปรษณีอิเล็กทรอนิกส์
         บริการหนึ่งที่ได้รับการนิยมมาก  เพราะเป็นวิธีติดต่อที่เป็นมาตรฐาน  สามารถจะรับและส่งเอกสารที่เป็นเอกสารที่เป็นเอกสารข้อความและเป็นเอกสารเเบบมัลติมีเดียมีทั้งภาพและเสียงโดยสามารถสื่อสารกันได้ไม่ว่าผู้รับหรอผู้ส่งจะอยู่ไกลหรือใกล้เพียงใดก็ตาม  บุรุษไปรษณีย์จะทำหน้าที่ส่งจดหมายให้กับเรา  คือ เว็บไซต์ที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิก  เพื่อขอใช้บริการ  เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยเเล้ว  จะได้ที่อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสำหรับติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น  ที่เรียกว่า E-mail  Address  ที่มีรูปแบบด้งนี้
   ชื่อผู้ใช้    @   ที่อยู่
 ผู้ใช้   คือ   ชื่ออะไรก็ได้ที่ผู้ใช้บริการอีเมลได้ตั้งขึ้น  โดยจะต้องไม่ซำกับสมาชิกของคนอื่น
 @      คือ   อ่านว่า  แอท  เป็นสัญญาล้กษณ์ที่คั่นระหว่างขื่อและที่อยู่ของอีเมลแอดเดรส
 ที่อยู่   คือ   ชื่อโดเมนเนมของเว็บไซต์ที่ให้บริการอีเมล เช่น  hotmail.com

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์

            4.การโอนย้ายข้อมูลข้มเครือข่าย
         FTP  หรือ File  Transfer  Protocol  เป็นบริการโอนย้ายข้อมูลข้ามเครืข่าย  ข้อมูลโอนย้ายมีหลายรูปแบบ  เช่น  ข้อความ  เพลง  ภาพ  ภาพเคลื่อนไหว  ข่าวสาร  โปรแกรมคอมพิวเตอร์  เป็นต้น การโอนย้ายข้อมูลแบ่งเป็น  2 แบบ
        1. การดาวน์โหลด  คือ  การนำไฟล์ข้อมูลโปรแกรมหรือภาพจากระบบเครืข่ายอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ดังนี้
        อินเทอร์เน็ต ------ ไฟล์ ------ คอมพิวเตอร์
         2.การอัพโหลด  คือ  การนำไฟล์ข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไปเก็บเครือข่ายไปยังอินเทอร์เน็ต  เช่น  การสร้างเว็บไซต์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วบุคคล  เมื่อต้องการเผยแพร่ข้อมูลบนเครืข่ายอินเทอร์เน็ต  จะส่งข้อมูลเหล่านั้นเก็บไว้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า Web Server 
                                          คอมพิวเตอร์ ------ ไฟล์ ------- อินเทอร์เน็ต
              5.การบริการใช้เครื่องข้ามเครือข่าย  Telnet
       การบริการใช้เครือข่ายด้วย  Telenet เป็นบริการที่ช้วยให้เราสามารถล็อกอินเข้าไปใช้งานในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลได้  เสมือนกับเราใช้งานเราหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ  และสามารถสั่งให้เครื่องปฏิบัติงานตามคำสั่ง  หรือโปรแกรมจากเครื่องของเราได้ การแสดงผลลัพท์ของโปรแกรมนั้น  ส่วนใหญ่จะแสดงรูปของข้อความ จึงจะได้ล็อกอิน  และรหัสผ่าน  เพื่อเปิดประตูไปใช้บริการระบบนี้  บริการTelnet สามารถค้นหาข้อมูล  และการโอนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันไป
              6.การบริการค้นหาข้อมูลข้ามเครือข่าย
       การค้นหาข้อมูลเครือข่ายบนอินเทอร์เน็ต  เป็นอีกบริการหนึ่งที่นิยมมาก  เพราะอำนวยการให้แก่ผู้ใช้บริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลอยู่ป็นจำนวนมาก  ดั้งนั้นการค้นหาข้อมูลจำเป็นต้องมีโปรแกรมเพื่อให้ทราบแหล่งที่อยู่ข้อมูล
       เครื่องจักรค้นหา  คือ  เว็บไซต์ที่ให้บรการในด้านการค้นหาข้อมูลต่างๆบนเครืข่ายอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้ใช้บริการ
       การใช้วิธีการค้นหาข้อมูลระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แบ่งรูปแบบการค้นหามี  2  ลักษณะ ดังนี้
       1. การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหา  หรือที่เรียกว่า  คีย์เวิร์ค
       2.การคนหาจากหมวดหมู่  หรือไดเรกทอรี
               7.การบริการสนทนาออนไลน์(Chat)
        การบริการสนทนาออนไลน์  หรือที่เรียกว่า แชท เป็นการสนทนาระหว่างบุคคลที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ต  มีการโต้ตอบกันทีนที่  โดยไม่ต้องการรอคำตอบเหมือนการใช้อีเมล์พิมพ์ข้อความ  หรือใช้เสียงในการสนทนาได้  การสนทนาสามารถกระทำได้ในกลุ่มสนทนา  เป็นการเเลกเปลี่ยความคิดเห็นซึ่งกันและกัน  ปัจจุบันนี้ได้นำวิธีการสนทนาออนไลน์มาประยุกต์ใช้ประชุมทางไกลโดยใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งภาพ  ไมโครโฟน  เป็นต้น
              8.กระดานข่าว(Bulletin  Board  System:BBS)
        กระดานข่าว  เป็นบริกาในรูปแบบของกล่มสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆในกล่มของผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกัน โดยจะต้งเป็น " กลุ่มข่าว (News Group)" เช่น กลุ่มผู้ที่สนใจด้านคอมพิวเตอร์  ด้านดนตรี  ด้านศิลปะ  หรือแม้กระทั่งแบ่งต่างกลุ่มอาชีพและกล่มอายุก็ได้  เช่น กล่มนักเรียนนักศึกษา  กลุ่มผู้หญิงทำงาน  เป็นต้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจที่จะใช้บริการเลือกกลุ่มเข้าไปสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เป็นเวทีให้แสดงความคิดเห็นหรือเมื่อต้องการสอบถามในเรื่องที่สงสัยและต้องการคำตอบ  ผู้ที่อยู่ภายในกลุ่มให้คำแนะนำ หรือตอบข้อสงสัยได้ ทำให้เราได้รับประโยชน์และได้ความรู้ใหม่ๆ
              9.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(E-commerce)
         เป็นระบบการค้าที่มีการซื้อขาย  ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต  โลกยุคดิจิทัล  ระบบการค้ามิได้ยึดรูปแบบเดิมๆ คือต้องหาทำเล  เพื่อตั้งร้านค้า  หรือหาพนักงานในการดำเนินการค้าแต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของการสื่อสาร  จะทำได้สะดวก  รวดเร็ว  ประหยัดกว่ารูปแบบเดิม  สามารถดำเนินการค้าได้ไม่เฉพาะ แต่ภายในประเทศ  หรือในเขตที่ตั้งร้านเท่านั้น  แต่สามารถค้าขายได้กับทุกคน  นอกจากนั้นเป็นวิธีทำการค้าตลอดเปิดตลอด  24  ชั่วโมง  เพียงแต่อยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็สามารถซื้อขายสินค้าได้  ดั้งนั้นหน้าจอคอมพิวเตอร์จึงเปรียบเสมือนประตูที่เปิดสู่โลกกว้าง

การใช้โปรแกรมค้นหาอื่นๆ

อินเตอร์เฟซ ExternalSearchProvider จะช่วยให้ผู้ใช้ BlackBerry สามารถค้นหาข้อมูลที่อยู่ภายนอก Unified Search Service ได้ หากผู้ใช้ได้รับผลการค้นหาที่ไม่พึงพอใจ ผู้ใช้สามารถคลิกบนผู้ให้บริการการค้นหาภายนอก ขณะใช้งานคุณสมบัติการค้นหาอเนกประสงค์จากหน้าจอหลักได้ ผู้ให้บริการค้นหาเหล่านี้จะนำอินเตอร์เฟซ ExternalSearchProvider ไปใช้
เมื่อผู้ใช้คลิกที่ผู้ให้บริการค้นหา คุณสมบัติการค้นหาอเนกประสงค์จะเรียกใช้ search() สำหรับ ExternalSearchProvider นั้น ผู้ให้บริการค้นหาจะรับผิดชอบในการสร้างการเชื่อมต่อเครือข่าย หรือการสื่อสารระหว่างโปรเซส, เรียกใช้การค้นหาบนเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล, ดึงข้อมูลผลลัพธ์ และแสดงให้กับผู้ใช้ หากแอปพลิเคชันของคุณใช้โปรแกรมค้นหาระยะไกล คุณสามารถพิจารณาแทรกผลการค้นหาในพื้นที่เก็บเนื้อหาของ Unified Search Service เพื่อเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของการค้นหาครั้งต่อๆ ไปได้
ผู้ให้บริการค้นหาภายนอกที่กำหนดไว้ล่วงหน้าบางราย ได้แก่ YouTube และ Google แอปพลิเคชันบุคคลที่สามจะสามารถเข้าถึงผู้ให้บริการค้นหาภายนอกได้เช่นกัน เมธอด UnifiedSearchServices.getSearchProviders() จะส่งคืนรายการออบเจกต์ ExternalSearchProvider ที่ลงทะเบียน เมื่อแอปพลิเคชันสามารถส่งการค้นหาได้
เช่นเดียวกับออบเจกต์ EntityBasedSearchableExternalSearchProvider จะต้องผ่านการลงทะเบียนกับ Unified Search Service ด้วยออบเจกต์SearchRegistry สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ให้ดูที่ "ลงทะเบียนออบเจกต์ EntityBasedSearchable ของคุณกับ Unified Search Service "

ตัวอย่างโค้ด: การนำอินเตอร์เฟซ ExternalSearchProvider ไปใช้

import net.rim.device.api.ui.image.Image;
import net.rim.device.api.ui.image.ImageFactory;
import net.rim.device.api.unifiedsearch.searchables.ExternalSearchProvider;
import net.rim.device.api.unifiedsearch.searchables.SearchableContentTypeConstants;
public class MySearchProvider implements ExternalSearchProvider {
    // A unique registration ID for this provider.
    private long _regId;
    // The external search provider icon.
    private Image _icon;
    // Constructor
    public MySearchProvider() {
        // Read the icon from the resource bundle
        Bitmap img = Bitmap.getBitmapResource("myicon.png");
        if(img != null) {
            _icon = ImageFactory.createImage(img);
        } else {
            _icon = null;
        }
    }
    // The provider name to be displayed.
    public String getProviderName() {
        return "Sample External Search Provider";
    }
    // The provider icon to be displayed.
    public Image getProviderIcon() {
        return _icon;
    }
    // The content type this provider offers.
    public long getContentType() {
        return SearchableContentTypeConstants.CONTENT_TYPE_MEDIA_MEMO;
    }
    // The search initiator will pass control to your application using this method.
    public void search(String keywords) {
        // Create network or IPC connections, send search keywords, and display the results.
    }
    // Allows the Unified Search Service and your application to keep track of 
    // this searchable's registration
    public long getRegistrationID()
    {
        return _regId;
    }
    public setRegistrationID(long id)
    {
        _regId = id;
    }
}


อินเทอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นบริการสาธารณะและมีผู้ใช้จำนวนมาก เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่เข้ามาใช้ควรมีกฏกติกาที่ปฏิบัติร่วมกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานที่ผิดวิธี ในทีนี้ขอแยกเป็น 2 ประเด็น คือ1. มารยาทของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในฐานะบุคคลที่เข้าไปใช้บริการต่างๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ
ด้านการติดต่อสื่อสารกับเครือข่าย ประกอบด้วย
  • ในการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายควรใช้ชื่อบัญชี (Internet Account Name) และรหัสผ่าน (Password) ของตนเอง ไม่ควรนำของผู้อื่นมาใช้ รวมทั้งนำไปกรอกแบบฟอร์มต่างๆ
  • ควรเก็บรักษารหัสผ่านของตนเองเป็นความลับ และทำการเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ รวมทั้งไม่ควรแอบดูหรือถอดรหัสผ่านของผู้อื่น
  • ควรวางแผนการใช้งานล่วงหน้าก่อนการเชื่อมต่อกับเครือข่ายเพื่อเป็นการประหยัดเวลา
  • เลือกถ่ายโอนเฉพาะข้อมูลและโปรแกรมต่างๆ เท่าที่จำเป็นต่อการใช้งานจริง
  • ก่อนเข้าใช้บริการต่างๆ ควรศึกษากฏ ระเบียบ ข้อกำหนด รวมทั้งธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละเครือข่ายที่ต้องการติอต่อ
ด้านการใช้ข้อมูลบนเครือข่าย ประกอบด้วย
  • เลือกใช้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ มีแหล่งที่มาของผู้เผยแพร่ และที่ติดต่อ
  • เมื่อนำข้อมูลจากเครือข่ายมาใช้ ควรอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น และไม่ควรแอบอ้างผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
  • ไม่ควรนำข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต
ด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้ ประกอบด้วย
  • ใช้ภาษาที่สุภาพในการติดต่อสื่อสาร และใช้คำให้ถูกความหมาย เขียนถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
  • ใช้ข้อความที่สั้น กะทัดรัดเข้าใจง่าย
  • ไม่ควรนำความลับ หรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาเป็นหัวข้อในการสนทนา รวมทั้งไม่ใส่ร้ายหรือทำให้บุคคลอื่นเสียหาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ดูถูก เหยียดหยามศาสนา วัฒนธรรมและความเชื่อของผู้อื่น
  • ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นควรสอบถามความสมัครใจของผู้ที่ติดต่อด้วย ก่อนที่จะส่งแฟ้มข้อมูล หรือโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ไปยังผู้ที่เราติดต่อด้วย
  • ไม่ควรส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ที่ก่อความรำคาญ และความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เช่น จดหมายลูกโซ่
ด้านระยะเวลาในการใช้บริการ ประกอบด้วย
  • ควรคำนึงถึงระยะเวลาในการติดต่อกับเครือข่าย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้คนอื่นๆ บ้าง
  • ควรติดต่อกับเครือข่ายเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องการใช้งานจริงเท่านั้น
2. มารยาทของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในฐานะบุคคลที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ลงบนอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย
  • ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และข่าวสารต่างๆ ก่อนนำไปเผยแพร่บนเครือข่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง
  • ควรใช้ภาษาที่สุภาพ และเป็นทางการในการเผยแพร่สิ่งต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต และควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
  • ควรเผยแพร่ข้อมูล และข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ ไม่ควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ขัดต่อศีลธรรมและจริยธรรมอันดี รวมทั้งข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
  • ควรบีบอัดภาพหรือข้อมูลขนาดใหญ่ก่อนนำไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต เพื่อประหยัดเวลาในการดึงข้อมูลของผู้ใช้
  • ควรระบุแหล่งที่มา วันเดือนปีที่ทำการเผยแพร่ข้อมูล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของผู้เผยแพร่ รวมทั้งควรมีคำแนะนำ และคำอธิบายการใช้ข้อมูลที่ชัดเจน
  • ควรระบุข้อมูล ข่าวสารที่เผยแพร่ให้ชัดเจนว่าเป็นโฆษณา ข่าวลือ ความจริง หรือความคิดเห็น
  • ไม่ควรเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งโปรแกรมของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และที่สำคัญคือไม่ควรแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลของผู้อื่นที่เผยแพร่บนเครือข่าย
  • ไม่ควรเผยแพร่โปรแกรมที่นำความเสียหาย เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย และควรตรวจสอบแฟ้มข้อมูล ข่าวสาร หรือโปรแกรมว่าปลอดไวรัส ก่อนเผยแพร่เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต

ความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ต 



ปัจจุบันการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์อย่างมาก จึงทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างแพร่หลาย บุคคลที่ใช้อินเทอร์เน็ตจึงมีหลายจุดประสงค์ ทั้งใช้งานในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และการใช้งานที่เป็นผลร้ายต่อบุคคลอื่น เพื่อจะได้ปลอดภัย จากภัยร้ายบนอินเทอร์เน็ต จึงควรศึกษาคู่มือวิธีการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างระเอียด และปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ต (ข้อความจากเวบไซต์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)

1.       เมื่อเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ควรปรึกษาผู้ใหญ่เกี่ยวกับแนวทางในการใช้ในการใช้อินเทอร์เน็ตต่อวัน และเมื่อผู้ใช้มีความรู้ และคุ้นเคยในการใช้งานจริงบ้างแล้ว จึงค่อยปรับเปลี่ยนแนวทางในใช้เวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตให้เหมาะสมต่อไป และควรเขียนแนวทางในการใช้อินเทอร์เน็ตติดไว้ใกล้กับคอมพิวเตอร์ เพื่อความสะดวกในการจัดระบบการใช้อินเทอร์เน็ต
2.       อย่าให้รหัสลับแก่ผู้อื่น
3.       ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่นในอินเทอร์เน็ต
4.       ตรวจทานว่าได้พิมพ์ชื่อเว็บไซด์ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงกด Enter เพื่อจะได้เข้าเว็บไซด์ที่ต้องการได้ถูกต้อง
5.       ปรึกษาผู้ใหญ่ ก่อนเข้าใช้ห้องสนทนาบนอิน เทอร์เน็ต เพราะว่าห้องสนทนาแต่ละห้องมีการสนทนาที่แตกต่างกัน บางห้องอาจไม่เหมาะสม
6.       ถ้าพบเห็นข้อความ หรือสิ่งใด ที่ไม่เหมาะสม หรือ คิดว่าไม่ดีต่อการใช้อินเทอร์เน็ต ควรออกจากเว็บไซด์นั้น และแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบทันที
7.       อย่าส่งรูปภาพของตนเอง หรือรูปภาพของผู้อื่น ให้คนอื่นทางอีเมลล์ ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่เสียก่อน
8.       ถ้าได้รับอีเมลล์ที่มีข้อความไม่เหมาะสมหรือทำให้ไม่สบายใจ ไม่ควรโต้ตอบ และควรบอกให้ผู้ใหญ่ทราบก่อนทันที
9.       บนอินเทอร์เน็ต ทุกอย่างที่คุณเห็นไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป
10.    อย่าบอกอายุจริงของคุณกับคนอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน
11.    อย่าบอกชื่อจริง และนามสกุลจริงกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษา และขออนุญาตผู้ใหญ่ก่อน
12.    อย่าบอกที่อยู่ ของคุณกับบุคคลอื่น
13.    ปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนทุกครั้งที่จะทำการลงทะเบียนใด ๆ บนอินเทอร์เน็ต
14.    อย่าให้หมายเลขของบัตรเครดิตการ์ดของคุณกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน
15.    ขณะที่ใช้อินเทอร์เน็ต ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา คุณสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการได้
16.    อย่าเปิดเอกสารหรืออีเมลล์หรือไฟล์ จากบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก เพราะอาจมีไวรัส หรือข้อมูลไม่เหมาะสม มากับเอกสารหรืออีเมลล์นั้น
17.    ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในสถานที่ที่สะดวกในการดูแลเอาใจใส่ เช่น ห้องนั่งเล่น หรือ ห้องส่วนรวม
18.    อย่าตัดสินใจที่จะไปพบบุคคลอื่นซึ่งรู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ และถ้ามีการนัดพบกันไม่ควรไปเพียงลำพัง ควรมีผู้ใหญ่หรือคนที่รู้จักหรือเพื่อนไปด้วย และควรนัดพบกันในที่สาธารณะ
19.    บนอินเทอร์เน็ตข้อมูลต่าง ๆ ที่เราพิมพ์ลงไป บุคคลอื่นที่เราไม่รู้จักสามารถล่วงรู้ได้ จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง
20.    อย่าบอกเบอร์โทรศัพท์ของคุณกับบุคคลอื่น ในอินเทอร์เน็ต
21.    พูดคุยกับผู้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ เกี่ยวกับสถานที่ กิจกรรม และสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็น บนอินเทอร์เน็ตที่ได้พบเห็น ระหว่างการใช้อินเทอร์เน็ต
22.    ใช้ชื่อที่ต่างจากชื่อจริง และชื่อเล่นของตัวเองเพื่อใช้แทนตัวเอง ในขณะใช้อินเทอร์เน็ต
23.    ควรปรึกษาผู้ใหญ่ ถ้าต้องการที่จะให้อีเมลล์แอดเดรสกับบุคคลอื่นในอินเทอร์เน็ต
24.    ถ้ามีบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ไม่ควรให้ข้อมูล และควรหยุดการสนทนานั้น
25.    อย่าบอกชื่อ ที่อยู่ของโรงเรียนของคุณ กับบุคคลอื่นบนอินเทอร์เน็ต
26.    ขณะใช้อินเทอร์เน็ตไม่ควรเชื่อคำพูดหรือข้อมูลของบุคคลอื่น เพราะการปลอมตัวทำได้ง่าย และอาจไม่เป็นความจริง
27.    อย่าทำสิ่งผิดกฎหมายบนอินเตอร์เน็ต เช่น ถ้าไม่เคยใช้บัตรเครดิต ก็ไม่ควรกรอกข้อมูลในการซื้อของ โดยใช้บัตรเครดิต บนอินเทอร์เน็ต
28.    เมื่อมีใครบางคนให้เงินหรือของขวัญ ฟรี ๆ กับคุณ ควรบอกปฏิเสธ และบอกให้ผู้ใหญ่ทราบทันที
29.    อย่าใช้คำไม่สุภาพ ขณะใช้อินเทอร์เน็ต
30.    คุณสามารถออกจากอินเทอร์ได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ต




      การ ใช้งานอินเตอร์เน็ตนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่, Business Center ของโรงแรม หรือสถานที่ใดๆ ที่ให้บริการ สิ่งหนึ่งที่พบก็คือการขาดความดูแลในเรื่องของการให้บริการ security สำหรับส่วนของลูกค้า ดังนั้นเราในฐานะผู้ใช้งานคงจำเป็นต้องดูแล เรื่องข้อมูลของเราด้วยตัวเอง โดยเฉพาะรหัสผ่านในการเข้าถึงเมล์ของเราหัวข้อที่ควรทำ หลังจากใช้งานอินเตอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว

    * ยกเลิก Auto Complete
      เพื่อไม่ให้จดจำรายชื่อเว็บที่เราเคยเข้าไป รวมทั้งไม่ให้จำ password ในการเข้าถึงเมล์หรือเว็บต่างๆของเราด้วย
         1. เข้าเมนู Tools
         2. เลือก Internet Options


         3. เลือกแท็ปหัวข้อ Content
         4. คลิกปุ่ม Auto Complete จะได้ดังภาพประกอบ



            คลิกยกเลิกเครื่องหมายถูก หน้าข้อความทั้งหมด ดังภาพประกอบด้านบน ถ้าต้องการยกเลิกของเก่าทั้งหมด ให้คลิกปุ่ม Clear Forms และ Clear Password



    * ลบไฟล์ที่เราทำงานออกทั้งหมด รวมทั้งรายชื่อเว็บที่เราเข้าไปเยี่ยมชม
      ซึ่ง ผลประโยชน์ทีได้รับก็คือ การได้รับพื้นที่คืนภายในฮาร์ดดิสก์ของเรา รวมทั้งช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับไวรัส ที่อาจเข้ามาผ่านทางเว็บที่เราแวะเยี่ยมชมอีกด้วย

      ขั้นตอนการลบไฟล์
         1. เข้าเมนู Tools
         2. เลือก Internet Options



         3. เลือก Delete Cookies, Delete Files และ Clear History



ความปลอดภัยในการใช้ internet ที่ควรทราบ

นักท่องเน็ตอย่าพลาด ! อ่านตรงนี้ก่อน "การรักษาความปลอดภัยในการเล่นอินเตอร์เน็ต" หลาย ๆ ท่านคงแปลกใจว่า เล่นเน็ตมาตั้งนาน ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่ ลองอ่านข้อมูลด้านล่างเหล่านี้เสียก่อน แล้วท่านจะพบว่า มันไม่จริงอย่างที่คิดไว้แล้ว
1. Auto Complete
หลาย ๆ ท่านที่ใช้ internet ในร้านค้าทั่วไป หรือใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกันผู้อื่น เคยทราบไหมว่า ทำไมบ้างครั้ง เวลากรอกแบบฟอร์มในบางเวป ถึงมีความข้อความขึ้นมาใหัอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องกรอกจนเสร็จ นั่นเป็นเพราะว่าโปรแกรม I.E. มีการเก็บข้อมูลที่คุณเคยกรอกไว้ โดยมีฟังก์ชัน ที่ช่วยในการกรอกข้อมูล นั่นคือ Autocomplete แล้วลองคิดดู ถ้ามีบุคคลอื่น นำข้อมูลของคุณไปใช้ คุณจะคิดอย่างไร ? ไม่ยากครับ เรามีวิธีแก้ไขให้ดังนี้ 
· คลิกไปที่เมนู Tools
 เลือก Internet Options
·
 คลิกแท็ปเลือก Contents
·
 คลิกเลือกปุ่ม AutoComplete
·
 คลิกยกเลิกออปชั่น Forms
·
2. Clear History
เวลาท่องเวปแล้ว ไม่อยากให้ใครทราบว่า เราเคยไปเวปไซท์ ไหน ๆ มาบ้าง ยิ่งบางเวปอาจไม่เหมาะที่จะให้เด็ก ๆ หรือเจ้านายของคุณได้รับรู้ จะทำอย่างไรดี ไม่ยากครับ เรามีวิธีมาบอก
 คลิกไปที่เมนู Tools
·
 เลือก Internet Options
·
 คลิกแท็ปเลือก General
·
 คลิกปุ่ม Clear History
·
3. Cookies ไม่ใช่ขนมน่ะครับ
Cookies เป็น Text file เล็กๆที่เว็ปเซิร์ฟเวอร์ส่งมายังเครื่องคอมฯของคุณ ทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ในรูปของไฟล์ เพื่อจดจำรหัสผ่าน รายละเอียดการเข้าไปใช้งานในเวปนั้น ๆ ซึ่งจุดนี้เอง ทำให้เจ้าของเวป หรือพวกแฮกเกอร์ สามารถเข้าไป ตรวจสอบ แก้ไข หรือทำลายเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้ เรามีทางแก้ไขครับ
 เข้าไปโปรแกรม
· Windows Explorer
 เข้าไป folder C:\winodws\cookies ลบ files
· ทั้งหมดที่อยู่ใน folder นี้
 เข้าไป folder C:\winodws\Temporary Internet
· Files ลบ files ทั้งหมดที่อยู่ใน folder นี้
 อาจะใช้โปรแกรม Disk Clean up
· ซึ่งอยู่ในเมนู Accessories ช่วยก็ได้

4. Security Level
การกำหนดระดับความรักษาความปลอดภัย ในระดับต่างๆ ง่าย ๆ ครับ เพียงแค่คลิกเลือกระดับที่ต้องการ High, Medium, Medium-Low, และ Low ซึ่งแต่ละระดับก็จะมีคำอธิบายไว้ให้ และถ้าท่านเป็นผู้ชำนาญในการใช้ internet อาจเลือกหัวข้อ Custom เพื่อกำหนดรายละเอียดย่อย ๆ ด้วยตนเองได้อีกด้วย
· คลิกไปที่เมนู Tools
 เลือก Internet Options
·
 คลิกแท็ปเลือก Security
·
 คลิกแท็ปเลือก Default Level
·
 ปรับระดับความรักษาปลอดภัยตามต้องการ
· 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น